
คิดว่าลูกหลานของพวกเรา ในอนาคตช่วง พ.ศ.2600 กำลังอยู่ในวัยรุ่นหนุ่มสาวเท่าพวกเราในตอนนี้ ปัจจุบัน พ.ศ. 2567 ผมอายุ 32 ปี ลูกหลานเหล่านั้นจะเล่าถึงถามถึงตำนานอะไรของพวกบ้างนะ
ตอนนั้นผมคงมีอายุ 60 กว่าปี วัยเทียบเท่ากับพ่อแม่ผมในตอนนี้ ซึ่งพวกท่านมีเรื่องเล่า มีตำนานพร้อมด้วยหลักฐานหรือยกเป็นวีรชนได้เลย มองกลับมายุคพวกเรา ส่วนใหญ่คงมีแต่ตำนานเรื่องที่ลำบาก มีอุปสรรคกว่าจะได้มา ไม่สำเร็จแน่เลย
นี่เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น เราลองสำรวจบริบทปัจจุบัน ผสมกับสอบถามความเห็นของคนอื่น แล้วขออนุญาตบันทึกตำนานไว้ใน ปี 2567 ถึงคนยุคปี 2600 ดังนี้นะครับ
จากตู้โทรศัพท์สู่ไอโฟน เมื่อเทคโนโลยีกลายเป็นตำนาน
จินตนาการถึงปี พ.ศ. 2600 ลูกหลานของเราในวัยนั้นอาจมองย้อนกลับมายังยุคของเรา ด้วยความรู้สึกแบบเดียวกับที่เรามองคนยุค 90 ในปัจจุบัน ตำนานตู้โทรศัพท์สาธารณะ เพจเจอร์ เทปวิดีโอ หรือแม้แต่ไอโฟนที่เคยล้ำสมัย อาจกลายเป็นเพียงวัตถุโบราณที่หาดูได้ยาก เช่นเดียวกับรถยนต์น้ำมันที่อาจถูกมองว่าเป็นรถคลาสสิก หรือธนบัตรและเหรียญที่เราใช้กันในปัจจุบันอาจกลายเป็นของสะสมหายาก
การเมืองและประวัติศาสตร์ จากจอมพล ป. สู่ ลุงตู่
บุคคลสำคัญในยุคของเราอย่าง ลุงตู่ อาจถูกกล่าวขานในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับ จอมพล ป. หรือ ป๋าเปรม ในขณะที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับรัชกาลที่ 5 เรื่องราวและเหตุการณ์ในยุคของเราจะถูกเล่าขานและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
การลงทุนและการเปลี่ยนแปลง จากความรุ่งโรจน์สู่ความล้มเหลว
การลงทุนในวันนี้อาจสร้างความร่ำรวยในอนาคต หากเลือกถือหุ้นที่ถูกต้องและยาวนาน แต่หากคาดการณ์ผิดพลาด สิ่งที่สะสมไว้อาจกลายเป็นเพียงขยะจากอดีต โลกในปี พ.ศ. 2600 จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เทคโนโลยีจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สกุลเงินคริปโต มีเพื่อนเป็น AI ซึ่งเด็กยุคใหม่จะมีความฉลาดล้ำเลิศ แต่สิ่งสำคัญที่อาจขาดหายไปคือภูมิคุ้มกันทางจิตใจ
ภูมิคุ้มกันทางจิตใจ สิ่งที่ต้องส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การเลี้ยงดูเด็กด้วยเทคโนโลยีอาจส่งผลให้พวกเขาขาดความอดทนและภูมิคุ้มกันทางจิตใจ สิ่งสำคัญที่เราต้องส่งต่อคือเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว เพื่อให้ลูกหลานได้เรียนรู้และเติบโตอย่างเข้มแข็ง
เรื่องเล่าที่ทรงคุณค่า ไม่จำเป็นต้องเป็นความสำเร็จ
เรื่องเล่าที่น่าสนใจไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องราวของความสำเร็จเสมอไป เพียงแค่เป็นเรื่องราวที่เราเข้าใจและลูกหลานอยากรู้ก็สามารถสร้างความตื่นเต้นและแรงบันดาลใจได้แล้ว สิ่งสำคัญคือการสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นอย่างยุติธรรม โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง
อนาคตที่สดใส จากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน ลูกหลานของเราในอนาคตอาจเป็นเด็กที่ฉลาดและประสบความสำเร็จอย่างสูง พวกเขาจะกล่าวถึงบรรพบุรุษด้วยความชื่นชมและขอบคุณสำหรับภูมิปัญญาและประสบการณ์ที่ส่งต่อมา
บทสรุปคือยุคของเราเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สิ่งที่เราทำในวันนี้จะถูกจดจำและส่งต่อไปยังลูกหลานในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเทคโนโลยี การเมือง หรือประสบการณ์ชีวิต สิ่งสำคัญคือการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ และส่งต่อภูมิคุ้มกันทางจิตใจ เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสให้กับพวกเขา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น